บทที่
6 บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์
ข้อมูลสารสนเทศ
เป็นปัจจัยสำคัญต่อการวางแผนปฏิบัติงาน
และการควบคุมเพื่อให้เกิดความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
องค์การและสิ่งแวดล้อม
ตามความหมายทางเทคนิค หมายถึง
โครงสร้างทางสังคมอย่างเป็นทางการที่มีความมั่นคง
โดยรับเอาทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการเพื่อสร้างหรือผลิตผลลัพธ์
องค์ประกอบขององค์การ 3 ส่วน คือ
1. ปัจจัยหลักการด้านการผลิต ได้แก่ เงินทุนและแรงงาน
2. กระบวนการผลิต ซึ่งจะเปลี่ยนสิ่งนำเข้าให้เป็นผลิตภัณฑ์
3. ผลผลิต ได้แก่ สินค้าและบริการ
องค์การในเชิงพฤติกรรม
บุคลากรในองค์การจะพัฒนาวิธีการทำงานของตน
มีรูปแบบความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นทั้งผู้ร่วมงาน
และผู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าเกี่ยวกับการทำงาน ปริมาณงาน และเงื่อนไขในการทำงาน
ผลกระทบของระบบสารสนเทศต่อองค์การ
1.ลดระดับขั้นตอนของการจัดการ สารสนเทศช่วยให้การตัดสินใจ
และประสานงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ผู้บริหารระดับกลางได้และให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจการตัดสินใจมากขึ้น
2.มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคง่ายขึ้น
มุ่งเน้นที่ความเร็วในการดำเนินงาน และมีระดับสินค้าคงคลังให้น้อยที่สุด
สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง
3.ลดขั้นตอนการดำเนินงาน เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้มีกระบวนการทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์
ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และลดเวลาที่ต้องใช้
ทำให้การบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.เปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการ ช่วยให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารจัดการ
สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในองค์การได้ตลอดเวลา
ช่วยในด้านการวางแผนการผลิต และการส่งเสริมการขายได้อย่างเหมาะสม
ระบบช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามารถเชื่อมโยงและเก็บรวบรวมข้อมูลของสาขาต่างๆ ได้อย่าง
รวดเร็ว
รวดเร็ว
5.กำหนดขอบเขตการดำเนินงานใหม่ ระบบสารสนเทศที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์การได้
มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การและคู่ค้าซึ่งเป็นกำหนดการดำเนินงานใหม่
องค์การดิจิทัล
และองค์การแบบเครือข่าย
เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตมาเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ถูกนำมาสร้างเป็นโครงสร้างของระบบสารสนเทศภายในองค์การ
ช่วยสนับสนุนการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ การเกิดขี้นขององค์การแบบเครือข่าย
ขยายขอบเขตการทำงาน และการควบคุมการปฏิบัติงาน รวมทั้งการนำเสนอสินค้าและบริการ
หากมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งานเกือบทุกส่วนขององค์การ
และเป็นองค์ประกอบหลักในการดำเนินธุรกิจรวมถึงการบริหารจัดการจะทำให้องค์การเข้าสู่ลักษณะขององค์การดิจิทัล
องค์การเสมือนจริง (Virtual
Organization)
เป็นรูปแบบขององค์การแบบใหม่ ลักษณะองค์การเสมือนจริง มีดังนี้
1.มีขอบเขตขององค์การไม่ชัดเจน ไม่ขอบเขตที่ชัดเจนเหมือนองค์การแบบดั้งเดิม
ยากต่อการกำหนดขอบเขตที่แน่ชัดขององค์การ
2.ใช้เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม องค์การอิสระต่าง ๆ ที่อยู่ต่างสถานที่
หรืออยู่ห่างไกลต้องอาศัยเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
เชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันเพื่อติดต่อสื่อสาร และร่วมมือในการสร้าง
การกระจายสินค้าและบริการ
3. มีความเป็นเลิศ องค์การอิสระแต่ละองค์การจะนำความสามารถหลักหรือความเป็นเลิศมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการตลาด
4.มีความไว้วางใจ
การทำงานมีความสัมพันธ์กัน ต้องมีความไว้วางใจกันว่าสามารถรับผิดชอบและทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามกำหนดและวัตถุประสงค์
5. มีโอกาสทางตลาด องค์การอิสระต่าง ๆ
อาจรวมกันเป็นองค์การเสมือนจริงในลักษณะถาวรหรือชั่วคราวเนื่องจากมองเห็นว่ามีโอกาสทางการตลาด
ระดับของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ แบ่งตามระดับของการปฏิบัติงานหรือการบริหารจัดการ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
1.ผู้ปฏิบัติงาน (Workers) เป็นบุคลากรที่ดำเนินงานด้านการสนับสนุน
และอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรฝ่ายต่าง ๆ จัดทำข้อมูล รายงานขององค์การ เช่น
พนักงานพิมพ์เอกสาร พนักงานบัญชี
ปัจจุบันแนวโน้มการใช้ระบบสารสนเทศของผู้ใช้ระดับปฏิบัติงานมีเพิ่มมากขึ้น
2. ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ (Operational
Managers) เรียกกันว่า
หัวหน้างานจะทำหน้าที่ควบคุมและดูแลดำเนินงานประจำวันของบุคลากรระดับปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะของสารสนเทศที่ใช้ ได้แก่ รายงานการปฏิบัติงานของพนักงาน
3. ผู้บริหารระดับกลาง (Middle
Managers) เป็นผู้ที่กำกับการบริหารงานของผู้บริหารระดับปฏิบัติการ
วางแผนยุทธ์วิธีเพื่อให้การดำเนินงานขององค์การบรรลุเป้าหมาย ประสานงานกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อรับนโยบายแล้วนำมาวางแผนปฏิบัติงาน
สารสนเทศที่ใช้ ได้แก่ รายงานเปรียบเทียบยอดขาย
4. ผู้บริหารระดับสูง (Senior
Managers) เรียกว่า Executive
Managers เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์การ
เป็นผู้ที่รับผิดชอบด้านการวางแผนกลยุทธ์ กำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์จององค์การ
ลักษณะของสารสนเทศที่ใช้จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับภายนอกองค์การ เช่น ดัชนีทางเศรษฐกิจ
เป็นต้น
ประเภทของระบบสารสนเทศ (Types of Information Systems) ระบบของสารสนเทศที่สำคัญ 3ประเภท ดังนี้
1. ระบบสารสนเทศจำแนกตามประเภทของธุรกิจ มีการออกแบบให้สอดคล้องและเหมาะสมกับลักษณะงานขององค์การ
เป็นระบบสารสนเทศขนาดใหญ่ประกอบด้วยระบบสารสนเทศที่จำแนกตามหน้าที่ย่อย ๆ หลายระบบ
เช่น ระบบบัญชี ระบบจัดการห้องพัก
2. ระบบสารสนเทศจำแนกตามหน้าที่ของงาน เป็นระบบที่จำแนกตามลักษณะ หรือหน้าที่ของงานหลัก ประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อย
ๆ ที่เป็นกิจกรรมของงานหลัก เช่น ระบบสารสนเทศจัดการทรัพยากรมนุษย์
ประกอบด้วยระบบย่อย ได้แก่ ระบบจัดการข้อมูลพนักงาน ระบบการสรรหาและคัดเลือก
เป็นต้น
3. ระบบสารสนเทศจำแนกตามลักษณะการดำเนินงาน
ระบบสารสนเทศ ออกแบบให้มีความสอดคล้องกับลักษณะงาน
และระดับของผู้ใช้งาน ประกอบการบริหารและตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่อิงคอมพิวเตอร์
แบ่งออกเป็น6 ประเภท ดังนี้
(1) ระบบสารสนเทศประมวลผลธุรกรรม (Transaction Processing System
: TPS)
เป็นระบบสารสนเทศประเภทแรกที่นิยมนำมาใช้เพื่อการประมวลผลที่รวดเร็ว
ลดค่าใช้จ่าย ปรับปรุงให้บริการลูกค้า ที่ทำหน้าที่รวบรวม
บันทึกข้อมูลในแฟ้มข้อมูลและประมวลผลข้อมูลที่เกิดจากการทำธุรกรรม
และการปฏิบัติงานประจำขององค์การเพื่อนำไปจัดทำระบบสารสนเทศ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบการประมวลผลธุรกรรมที่ลูกค้าสามารถป้อนข้อมูล
และประมวลผลรายการด้วยตนเองได้ เรียกระบบสารสนเทศลักษณะนี้ว่า Customer
Integrated Systems : CIS เช่น ระบบฝาก–ถอนเงินจากเครื่องอัตโนมัติ (Automated
Teller Machines :ATM) ลักษณะการประมวลผลข้อมูลของ TPS แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing) เป็นการประมวลผลที่ข้อมูลจะถูกรวบรวม
และสะสมไว้ระหว่างช่วงเวลาที่กำหนด แล้วจึงประมวลผลรวมกันเป็นครั้งเดียว
ถึงแม้ว่าการป้อนข้อมูลจะเป็นแบบออนไลน์มีการบันทึกข้อมูลทีนที
แต่ข้อมูลที่ป้อนนี้ยังไม่ประมวลผล เช่น การประมวลผลข้อมูลการใช้กระแสไฟฟ้า
น้ำประปา ซึ่งประมวลผลเดือนละครั้ง
1.2 การประมวลผลแบบทันที (Real-Time Processing) เป็นการประมวลผลแต่ละรายการ
และให้ผลลัพธ์ทันทีเมื่อมีการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ
เช่นการซื้อบัตรเข้าชมภาพยนตร์ที่เคาน์เตอร์
การประมวลผลแบบทันทีถ้าเป็นการประมวลผลรายการแบบออนไลน์จะเรียกว่า Online
Transaction Processing: OLTP การประมวลผลแบบทันทีเป็นแบบออนไลน์
เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
(2) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System:
MIS)
เป็นระบบสารสนเทศที่ประมวลผล
และสรุปจากแฟ้มข้อมูลที่ได้จาก TPS เพื่อจัดทำสารสนเทศตามความต้องการของผู้บริหารสำหรับนำไปใช้ในการวางแผนประกอบการตัดสินใจ
เป็นรายงานสรุปค่าสถิติต่าง ๆ อาจนำเสนอในรูปของตาราง หรือกราฟเปรียบเทียบ
เพื่อความสะดวก ง่ายต่อการทำความเข้าใจ สามารถจำแนกได้ 4 ประเภท ดังนี้
2.1 รายงานที่จัดทำตามระยะเวลาที่กำหนด (Periodic Reports) จัดทำขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า อาจทำทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน
2.2 รายงานสรุป (Summarized Report) จัดทำเพื่อสรุปการดำเนินงานโดยภาพรวม
2.3 รายงานที่จัดทำตามเงื่อนไขเฉพาะ (Exception Report) จัดทำตามเงื่อนไขพิเศษที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จัดทำรายงานตามปกติ
เพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้สารสนเทศ และตัดสินใจอย่างทันเวลา
2.4 รายงานที่จัดทำตามต้องการ (Demand Reports) จัดทำเมื่อผู้บริหารมีความต้องการในรายงานนั้น ๆ
(3) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems: DSS)
เป็นระบบสารสนเทศที่นำข้อมูลจากฐานข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ในการตัดสินใจ
เป็นการเน้นการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สารสนเทศเป็นพื้นฐาน
ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง หรือ "do
the right thing"
ลักษณะที่สำคัญของ DSS คือ
เป็นระบบที่ให้สารสนเทศอย่างรวดเร็วต่อการตัดสินใจ ใช้แก้ปัญหาและกำหนดกลยุทธ์
ควรออกแบบในลักษณะที่โต้ตอบ
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของกลุ่ม
เรียกระบบนี้ว่า
ระบบสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจกลุ่ม (Group Decision Support
System: GDSS) ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศที่นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในการนำเสนอ
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระดมความคิด วิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาเพื่อหาแนวทาง
หรือรูปแบบในการตัดสินใจร่วมกันของกลุ่ม เช่น การประชุมทางไกล การลงคะแนนเสียง เป็นต้น
ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems:
GIS) เป็นระบบสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของสถานที่
และเส้นทางการเดินทาง ประกอบด้วย
· ฐานข้อมูลเชิงปริมาณ และคุณภาพเพื่อนำมาแสดงผลในรูปสารสนเทศ
· ฐานข้อมูลแผนที่
· โปรแกรมที่นำเสนอสารสนเทศบนแผนที่ดิจิทัล
(4) ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Information
Systems: EIS หรือ Executive Support Systems:
ESS)
เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหา
ศึกษาแนวโน้ม และการวางแผนกลยุทธ์ เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น และคล่องตัวสูง EIS สามารถเข้าถึงสารสนเทศจากฐานข้อมูลภายในและภายนอกองค์การ
นำเสนอสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์ในรูปของรายงาน ตาราง และกราฟ
สรุปสารสนเทศให้ผู้บริหารได้เข้าใจง่าย และประหยัดเวลา
(5) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems: ES)
เป็นความพยายามที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ให้สามารถปฏิบัติงานได้เหมือนกับมนุษย์ AI มีหลายสาขา
เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ ระบบการมองเห็น ระบบการเรียนรู้ เครือข่ายเส้นประสาท ระบบผู้เชี่ยวชาญ
ปัญญาประดิษฐ์ มีข้อจำกัดมากกว่าการใช้ปัญญามนุษย์
ในองค์กรธุรกิจนำมาประยุกต์ใช้งานเพื่อการรักษาความรู้ของผู้เชี่ยวชาญที่อาจสูญเสีย
หรือสูญหายไป ช่วยขยายฐานความรู้ขององค์การในการให้คำแนะนำแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
ช่วยลดภาระงานประจำที่มนุษย์ไม่มีความนำเป็นต้องทำ
ระบบผู้เชี่ยวชาญ หรือระบบฐานความรู้
เป็นระบบที่รวบรวมและจัดเก็บความรู้และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ
ช่วยในการหาข้อสรุป และคำแนะนำ เช่น การรักษาโรคของแพทย์ ES ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ได้แก่
· ส่วนติดต่อกับผู้ใช้หรือบทสนทนา
· ฐานความรู้ เป็นกลุ่มของข้อเท็จจริง
· กลไกอนุมาน ใช้สำหรับการค้นหาสารสนเทศจากฐานความรู้
(6) ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information Systems: OIS) หรือระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation Systems: OAS)
เป็นระบบสารสนเทศที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้ปฏิบัติ
และผู้บริหาร เช่น การจัดทำเอกสาร รายงาน จดหมายธุรกิจ
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ แบ่งได้ 5 ประเภท คือ ระบบจัดการเอกสาร, ระบบการจัดการข่าวสาร ,
ระบบการทำงานร่วมกัน/ประชุมทางไกล ,ระบบการประมวลภาพ
, ระบบจัดการสำนักงาน
OIS ใช้โปรแกรมพื้นฐานทั่วไปเพื่อสนับสนุนการทำงาน เช่น โปรแกรมตารางคำนวณ
โปรแกรมประมวลผลคำ โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ ใช้เพื่อการสื่อสาร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แบบฝึกหัดบทที่ 6
1.ระบบสารสนเทศในองค์กร คืออะไร มีกี่ประเภทอะไรบ้าง จงอธิบายแต่ละประเภท พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ ระบบสารสนเทศในองค์กร คือ โครงสร้างทางสังคมอย่างเป็นทางการที่มีความมั่นคง
โดยรับเอาทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมมาผ่านกระบวนการเพื่อสร้างหรือผลิตผลลัพธ์ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท
ดังนี้
1.ระบบสารสนเทศจำแนกตามประเภทของธุรกิจ
มีการออกแบบให้สอดคล้องและเหมาะสมกับลักษณะงานขององค์การ
เป็นระบบสารสนเทศขนาดใหญ่ประกอบด้วยระบบสารสนเทศที่จำแนกตามหน้าที่ย่อย ๆ หลายระบบ
เช่น ระบบบัญชี ระบบจัดการห้องพัก
2. ระบบสารสนเทศจำแนกตามหน้าที่ของงาน เป็นระบบที่จำแนกตามลักษณะ
หรือหน้าที่ของงานหลัก ประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อย ๆ ที่เป็นกิจกรรมของงานหลัก
เช่น ระบบสารสนเทศจัดการทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วยระบบย่อย ได้แก่
ระบบจัดการข้อมูลพนักงาน ระบบการสรรหาและคัดเลือก เป็นต้น
3. ระบบสารสนเทศจำแนกตามลักษณะการดำเนินงาน
ระบบสารสนเทศออกแบบให้มีความสอดคล้องกับลักษณะงาน และระดับของผู้ใช้งาน
ประกอบการบริหารและตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่อิงคอมพิวเตอร์ เช่น
ระบบสารสนเทศประมวลผลธุรกรรม ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
2.MIS และ DSS แตกต่างกันอย่างไร
ตอบข้อแตกต่างระหว่าง MIS และ DSS
MIS
-
รายงานสรุปจากทรานแซคชั่น
-
การแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้างซ้ำๆ
-
ผลิตรายงานประจำ
-
ใช้เครื่องมือวิเคราะตัวอย่าง
DSS
-
จัดหาข้อมูลและโมเดลเพื่อการตัดสินใจ
-
ทำงานแบบโต้ตอบ
-
การแก้ปัญหาแบบกึ่งโครงสร้าง
-
ใช้การจำ ลองแบบและโมเดลวิเคราะห์
3. ในปัจจุบันระบบ AI ถือว่ามีความสำคัญมากต่อการดำเนินธุรกิจ
จงอธิบายว่า AI คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร
พร้อมยกตัวอย่างของธุรกิจที่นำระบบ AI เข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ
ตอบ AI คือ
วิทยาการด้านปัญญาที่จะมาช่วยให้มนุษย์แก้ปัญหาต่างๆได้ดีขึ้น
โดยสร้างหุ่นยนต์ให้สามารถทำงานได้เหมือนคน โดยเน้นตามแนวความคิดแบบสมองมนุษย์ที่มีการวางแผนขั้นตอนการเรียนรู้
การตัดสินใจ การแก้ปัญหา รวมไปถึงการเลือกแนวทางการดำเนินการในลักษณะคล้ายมนุษย์
ธุรกิจที่นำ
AI มาใช้ เช่น ธุรกิจการเงิน
ธุรกิจการผลิต ธุรกิจการศึกษา เป็นต้น
https://www.bananastore.com/what-is-ai/
https://bualuang.fund/archives/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น